เบรกโปรแกรมฟีฟ่าเดย์คราวนี้พิเศษกว่าครั้งอื่นๆ เพราะเป็นการประเดิมใช้ทัวร์นาเมนต์อุ่นเครื่องแบบใหม่ที่เรียกว่า “ยูฟ่า เนชันส์ ลีก” ซึ่ง สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (UEFA) ไม่อยากให้เป็นแมตช์ลับแข้งธรรมดาที่เตะครบ 90 นาทีแล้วแยกย้าย
ชาติสมาชิกรายการนี้มีทั้งหมด 55 ชาติ และจะเอามาแบ่งลีกกันมีทั้งหมด 4 ลีกคือ League A 12 ทีม, League B 12 ทีม, League C 15 ทีมและ League D 16 ทีม ส่วนการแบ่งลีกก็ไม่ยุ่งยากเน้นค่าสัมประสิทธิ์ ดังนั้นทีมเก่งๆ ก็จะไปรวมกันอยู่ League A ทั้งหมด ซึ่งแต่ละลีกก็จะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยแข่งแบบเหย้า-เยือนเก็บคะแนนประตูได้-เสีย
เมื่อแข่งครบตามโปรแกรมก็จะมีการเลื่อนชั้นตกชั้นเช่น League A ตกไปอยู่ League B ในการแข่งขันครั้งต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้แต่ละชาติก็จะต้องใส่กันเต็มเหนี่ยวเพื่อไม่ให้เป็นการเสียหน้าว่าปีนี้ผลงานย่ำแย่ต้องตกไปอยู่ League B, League C หรือห่วยสุด League D แต่ถ้าตกก็สามารถที่จะไต่ลีกขึ้นไปได้ในการแข่งครั้งต่อไป
ส่วนแต่ละลีกเมื่อแข่งครบแต่โปรแกรมในกลุ่มย่อยของลีกนั้นๆ แล้วก็จะมีการประกบคู่เข้าไปเล่นในรอบน็อกเอาท์ต่อไปเพื่อหาแชมป์ในแต่ละลีก ซึ่งแต่ละลีกก็จะแข่งแบบนี้เหมือนกันหมดดังนั้นเมื่อครบแล้วก็จะได้แชมป์ League A, League B, League C และ League D ซึ่งทั้ง 4 ทีมนี้จะได้โควต้าพิเศษไป ยูโร 2020
ด้วยเหตุผลนี้เองทำให้แต่ละทีมต้องเล่นกันแบบจริงจัง เพราะ ยูโร 2020 รอบคัดเลือกก็จะเตะปกติเพื่อหา 20 ทีมไปเล่นรอบสุดท้ายส่วนอีก 4 ทีมเพื่อให้ครบ 24 ทีมก็จะเอาจาก “ยูฟ่า เนชันส์ ลีก” ดังนั้น League D ที่มีทีมระดับเดียวกันก็จะได้ตั๋วพิเศษไปเล่น ดังนั้นอาจจะเห็นทีมอย่าง หมู่เกาะแฟโร ไปเล่นรอบสุดท้าย ยุโร 2020
คำถามก็คือยกตัวอย่างถ้า League A แชมป์คือ ฝรั่งเศส ที่รอบคัดเลือก ยูโร 2020 ก็ได้ตั๋วเข้าไปเล่นรอบสุดท้าย ดังนั้นโควต้าจากแชมป์ League A ก็จะถูกยกให้ทีมรองลงมาใน League A แทน ซึ่งทุกลีก A-D ก็จะเป็นแบบนี้เหมือนกันหมด