“รูนีย์” วัย 38 ปี vs “โรนัลโด” วัย 39 ปี การสิ้นสุดเส้นทางลูกหนังรายแรก เทียบรายหลังที่ยังโลดแล่น

 

“เวย์น รูนีย์” วัย 38 ปี vs “คริสเตียโน โรนัลโด” วัย 39 ปี การสิ้นสุดเส้นทางลูกหนังรายแรก เทียบรายหลังที่ยังโลดแล่นอยู่

วันที่ 10 ก.ย. 67 ในยุคหนึ่งของ “ปิศาจแดง” แมนเชสตอร์ ยูไนเต็ด อุดมไปด้วยแข้งระดับตำนานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชุดคลาสออฟ 92 ซึ่งประกอบด้วย ไรอัน กิกส์, แกรี เนวิลล์, เดวิด เบคแฮม, พอลล์ สโคลส์, นิคกี บัตต์ และฟิลล์ เนวิลล์ ทั้งนี้ในช่วงท้ายอาชีพกุนซือของ เซอร์ อเลกซ์ เฟอร์กูสัน ยังมี 2 ผู้เล่นที่โดดเด่นขึ้นมาอย่างน่าเหลือเชื่อ คือ เวย์น รูนีย์ และคริสเตียโน โรนัลโด ซึ่งทั้งคู่ร่วมกันถลมประตู และใล่แชมป์มากมายสู่ถิ่นโอล แทรฟฟอร์ด

สำหรับ เวย์น รูนีย์ อดีตดาวยิงทีมชาติอังกฤษ แจ้งเกิดจากอคาเดมีของเอฟเวอร์ตัน ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนทำให้ เซอร์ อเลกซ์ เฟอร์กูสัน ต้องดึงตัวมาร่วมทีมในวันที่ 31 สิงหาคม 2004 จากนั้นก็ได้สร้างตำนานร่วมกับผู้เล่นคนอื่นๆ ในทีม สถิติที่น่าทึ่งของเจ้าตัว คือ ยิงประตูให้กับแมนยูฯ 253 ประตู 139 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 559 นัด

เวย์น รูนีย์ คว้าแชมป์มากมาย ประกอบด้วย ลีก คัพ 4 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย, อังกฤษ ซุปเปอร์ คัพ 4 สมัย, พรีเมียร์ลีก 5 สมัย, ยูโรปา ลีก 1 สมัย, ยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีก 1 สมัย และยังมีส่วนร่วมในการคว้าแชมป์ลีกกับทีมยู-21 อีก 1 สมัย พร้อมคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของทีม 4 ครั้ง และผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำปีในปี 2010 อีก 1 ครั้ง

ก่อนที่จะย้ายกลับไปเล่นให้กับเอฟเวอร์ตันหลังจบฤดูกาล 2016/17 ตามด้วย ดี.ซี. ยูไนเต็ด ในปี 2018 และย้ายกลับมาเล่นให้ ดาร์บี เคาท์ตี ในฤดูกาล 2019/20 สุดท้ายเจ้าตัวประกาศแขวนสตั๊ดหลังจบฤดูกาลถัดมา ตลอดอาชีพการค้าแข้งในระดับสโมสรของเจ้าตัวลงสนาม 764 นัด ยิงประตู 313 ประตู กับอีก 169 แอสซิสต์ ส่วนในนามทีมชาติลงเล่น 120 นัดซัดไป 53 ประตู

ด้าน คริสเตียโน โรนัลโด ดาวยิงทีมชาติโปรตุเกส ในวัย 39 ปีเจ้าตัวยังกระหายในการลงสนาม และยังมีความอยากเป็นผู้ชนะตลอดเวลา เขาย้ายมาร่วมทีม “ปิศาจแดง” แมนเชสตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2003 (ก่อนรูนีย์ 1 ปี) จากการทาบทามของ เซอร์ อเลกซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งในครั้งนั้นเขายังเป็นดาวรุ่งที่กำลังรอแจ้งเกิดกับสปอร์ติง ลิสบอน ในลีกโปรตุเกส

พอย้ายมาแมนยูฯ ได้ไม่นานก็เริ่มแผงฤทธิ์ใส่ทีมคู่แข่งทุกทีม ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในถิ่นโอล แทรฟฟอร์ด เขาเป็นเบอร์ 1 ของทีมเสมอมา โดยมี เวย์น รูนีย์ เพื่อนร่วมทีมเป็นคนผลักดัน ทั้งนี้เขาสามารถคว้ารางวัลบันลงดอร์ได้เป็นครั้งแรกในฐานะแข้งแมนยูฯ ในปี 2008 ก่อนเจ้าตัวจะย้ายไปเล่นให้กับ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ตามความฝัน และสถาปนาตัวเองเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลกตลอดกาล

คริสเตียโน โรนัลโด คว้าแชมป์มามากมายโดยแบ่งตามรายสโมสรได้ ดังนี้

สปอร์ติง ลิสบอน – โปรตุเกส
โปรตุเกส ซุปเปอร์ คัพ 1 สมัย (ลงเล่น 31 นัด ซัดไป 5 ประตูกับอีก 6 แอสซิสต์)

แมนเชสตอร์ ยูไนเต็ด – อังกฤษ
ลีก คัพ 2 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย, อังกฤษ ซุปเปอร์ คัพ 1 สมัย, พรีเมียร์ลีก 3 สมัย, ยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีก 1 สมัย และฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ 1 สมัย (ลงเล่น 346 นัด ซัดไป 145 ประตูกับอีก 64 แอสซิสต์)

เรอัล มาดริด – สเปน
สแปนิช คัพ 1 สมัย, สแปนิช ซุปเปอร์ คัพ 2 สมัย, ลาลีกา สเปน 2 สมัย, ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ 3 สมัย, ยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีก 4 สมัย และฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ 3 สมัย (ลงเล่น 438 นัด ซัดไป 450 ประตูกับอีก 131 แอสซิสต์)

ยูเวนตุส – อิตาลี
อิตาเลียน คัพ 1 สมัย, อิตาเลียน ซุปเปอร์ คัพ 2 สมัย และกัลโช เซเรียอา อิตาลี 2 สมัย (ลงเล่น 134 นัด ซัดไป 101 ประตูกับอีก 22 แอสซิสต์)

อัล นาสเซอร์ – ซาอุดิอาระเบีย
(ลงเล่น 68 นัด ซัดไป 62 ประตูกับอีก 17 แอสซิสต์)

ทีมชาติโปรตุเกส – ยุโรป
ยูโร 2016 (ลงเล่น 314 นัด ซัดไป 132 ประตูกับอีก 45 แอสซิสต์)

 

ที่มา : https://www.thairath.co.th/sport/eurofootball/otherleague/2813561