หากจะเอ่ยชื่อทีมชาติเซอร์เบีย เชื่อว่าบรรดาแฟนฟุตบอลคงรู้จักกันดีเพราะเซอร์เบียก็เป็นหนึ่งชาติที่แยกมาจากการล่มสลายของยูโกสลาเวียเดิม
แต่ใครจะรู้ว่า แม้ว่าเราจะได้ยินชื่อมานานแต่หารู้ไม่ว่าพวกเขายังไม่เคยผ่านเข้าไปเล่นศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปรอบสุดท้ายเลยสักครั้งนับตั้งแต่แยกออกจากยูโกสลาเวีย
แม้ว่าเซอร์เบียจะเคยลงเล่นในศึกยูโร 2000 รอบสุดท้ายมาตอนแยกออกจากยูโกสลาเวียใหม่ๆ แต่ในตอนนั้นก็ยังใช้ชื่อเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ซึ่งตอนนั้นไปไกลถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเลยทีเดียว
แต่ไม่น่าเชื่อนับตั้งแต่มาใช้ชื่อ เซอร์เบีย แบบเดี่ยวๆ ก็ยังไม่เคยได้ลงเล่นในรอบสุดท้ายเลยนับตั้งแต่ศึกยูโร 2008 เป็นต้นมาจนถึงยูโร 2012, ยูโร 2016 และล่าสุด ยูโร 2020 ก็ยังไม่เคยมีชื่อของเซอร์เบียผ่านไปเล่นในรอบสุดท้ายเลย
ผิดกับในศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายที่ เซอร์เบียได้ไปลุยรายการนี้อย่างว่าเล่น โดยนับตั้งแต่เปลี่ยนมาใช้ชื่อ เซอร์เบียแบบเดี่ยวๆ เคยไปเล่น “เวิลด์ คัพ” รอบสุดท้ายถึง 3 สมัยในปี 2010 ที่แอฟริกาใต้, ปี 2018 ประเทศรัสเซีย และครั้งล่าสุด ปี 2022 ประเทศกาตาร์
แม้ว่าจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไร ในศึก “เวิลด์ คัพ” แต่ก็ยังได้เข้าร่วมในศึกลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเป็นประจำ
เมื่อย้อนกลับมามองในฟุตบอลระดับทวีปอย่าง “ยูโร” ทางเซอร์เบียกลับเจอแต่เรื่องยากเย็นแสนเข็ญในรอบคัดเลือกตลอดจนยังไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายเลยสักครั้ง
แม้ว่าเซอร์เบียจะมีนักเตะระดับท็อปอยู่ในทีมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเนมันยา วิดิช, บรานิสลา อิวาโนวิช, เนเวน ซูโบติช, เดยัน สแตนโควิช, เนมันยา มาติช, มิลาน โจวาโนวิช, นิโกลา ซิกิช แต่ก็ยังไม่เคยได้เล่นในยูโรรอบสุดท้ายเลยสักครั้ง มันน่าแปลกใจจริงๆ
ทำให้ยูโร 2024 ในรอบคัดเลือก เซอร์เบีย ตั้งเป้าจะผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายให้ได้เป็นครั้งแรก โดยปีนี้ในรอบคัดเลือกถูกจับอยู่ในกลุ่มจี ร่วมกับ ฮังการี, มอนเตเนโกร, ลิทัวเนีย และบัลแกเรีย
มื่อเห็นสายตอนแบ่งกลุ่มครั้งแรกบรรดาแฟนบอลเซอร์เบียก็คิดว่าทีมชาติบ้านเกิดของตัวเองน่าจะผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายได้ไม่ยาก เพราะเมื่อดูลิสต์รายชื่อแล้ว เซอร์เบีย คือเต็ง 1 ที่จะคว้าแชมป์ของกลุ่มนี้
แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นรอบคัดเลือกก็ไม่ง่ายเสมอ โดยเฉพาะเซอร์เบียต้องมาเจอกับความร้อนแรงของ “แม็กยาร์” ฮังการี ที่พุ่งปรี๊ดขึ้นมา ทำให้สถานการณ์ของเซอร์เบียก็ต้องมาลุ้นอันดับ 2 แทน
ซึ่งทางเซอร์เบียก็ต้องเบียดแย่งชิงตั๋วอีกใบกับมอนเตเนโกร อดีตคู่รักคู่แค้นที่เคยผนึกเป็นชาติเดียวกันมาก่อน และต้องลุ้นกันถึงนัดสุดท้าย
โดยก่อนแข่งเซอร์เบียมี 13 คะแนนจาก 7 นัดรั้งอันดับ 2 โดยจะพบกับบัลแกเรีย ขณะที่อันดับ 3 มอนเตเนโกร มี 11 คะแนนจาก 7 นัด สถานการณ์ก่อนแข่ง เซอร์เบียต้องชนะหรือเสมอเท่านั้นถึงจะผ่านเข้ารอบ ขณะที่มอนเตเนโกร จะพลิกเข้ารอบได้ต้องเอาชนะฮังการีให้ได้ ก่อนลุ้นให้เซอร์เบียแพ้ต่อบัลแกเรีย
แต่สุดท้ายก็ไม่มีการพลิกโผเป็นทางเซอร์เบีย ที่เสมอกับบัลแกเรีย ไป 2-2 ขณะที่มอนเตเนโกร พ่ายแพ้ให้กับฮังการีไป 1-3 จากสกอร์ที่ออกมาทำให้เซอร์เบียคว้าอันดับ 2 ของกลุ่มและตีตั๋วไปลุยรอบสุดท้ายได้สำเร็จนับตั้งแต่แยกออกมาใช้ชื่อเซอร์เบียแบบเดี่ยวๆ
เรียกได้ว่างานนี้แฟนบอลเซอร์เบียนอนหลับฝันดีที่เห็นทีมชาติบ้านเกิดผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายสักทีหลังจากรอคอยมานานกว่า 24 ปีเลยทีเดียว.